ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งต้องย้อนกลับไปตั้งแต่มีการรัฐประหารปี 2549 (แต่สำหรับบางพื้นที่ เช่น 3 จังหวัดภาคใต้อาจจะยาวนานกว่านั้น) สังคมไทยได้ปะทุความขัดแย้งชนิดที่ไม่เคยมีครั้งไหนที่สังคมไทยได้ปะทุความขัดแย้งชนิดที่ไม่เคยมีครั้งไหนที่สังคมไทยจะขัดแย้งกันถึงเพียงนี้ ความขัดแย้งดังกล่าวได้ทำให้คนไทยเกลียดชังกันและกัน และพร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งของการทำลายล้างซึ่งบางครั้งเป็นการพรากชีวิต บางครั้งเป็นการแสดงความยินดีต่อความตายของเพื่อนมนุษย์ หรือบางครั้งคือ การตราหน้าเพื่อนร่วมชาติมีคุณลักษณะที่ต่ำกว่าที่ตัวเองมี ความขัดแย้งที่ยาวนาน และมากมายจึงนำไปสู่การสู้กันทางการเมืองไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม และไม่ว่าจะมีความสูญเสียเพียงใดก็ตามสภาพเช่นนี้จึงเป็นการยากสำหรับใครก็ตามที่ฝันอยากเห็นสังคมไทยเปลี่ยนแปลง บางคนใช้วิธีการรุนแรงในการแก้ปัญหา ซึ่งก็พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้แก้ปัญหาอะไร หากแต่ทำให้โอกาสที่สังคมจะคืนดีกันเป็นเรื่องยากมากขึ้นไปอีก ดังนั้นการสลายความขัดแย้งที่ได้ผลคือ การใช้สันติวิธีในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งความเรียงคัดสรรว่าด้วยสันติวิธีของ ดร.มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ ได้เน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการสู้ด้วยสันติวิธี ซึ่งต้องย้ำไว้ตรงนี้ว่า การต่อสู้ด้วยสันติวิธีมิใช่การนิ่งเฉยไม่ทำอะไรเพราะ การยอมรับนิ่งเฉยต่อระบบอยุติธรรมนั้นคือการร่วมมือกับระบบนั้น และนั่นหมายถึงเราเองก็กลายเป็นส่วนหนึ่งในความชั่วนั้นด้วย